CGS คาดหุ้นสัปดาห์สุดท้ายปี 64 แกว่งแคบ 1,625-1,650 จุด

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

บล.คันที่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า SET สัปดาห์ทำการสุดท้ายของปี 64 ไม่มีปัจจัยที่มีนัยสำคัญต่อการลงทุนมากนัก ในเชิงตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศจะมีตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในวันพุธ, ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี Bloomberg คาดที่ 2 แสนตำแหน่ง เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ไม่ร้อนแรง เพื่อหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังดำเนินนโยบายคล้ายที่ประกาศไว้

รวมทั้งสถานการณ์โอมิครอนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย หากมีกระแสข่าวพบการติดเชื้อที่สูงขึ้นทั้งในไทย รวมถึงต่างประเทศอาจเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนได้ ล่าสุด ของประเทศไทยเริ่มพบการติดเชื้อโอมิครอนจากคนในประเทศโดย Cluster คู่สามีภรรยาที่เดินทางกลับมาจากเบลเยียม จึงเป็นประเด็นที่ควรจับตาใกล้ชิดว่าจะเกิดการระบาดเป็นวงกว้างหรือไม่

ดังนั้น ด้วยสัปดาห์ที่ SET จะเปิดทำการซื้อขายเพียง 4 วันทำการก่อนจะหยุดเทศกาลปีใหม่ยาว 4 วัน ประกอบกับปัจจัยในสัปดาห์นี้ไม่มีอะไรโดดเด่นจึงเชื่อว่าจะเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวออกข้างในกรอบแคบๆราว 1,625-1,650

สำหรับมุมมองปี 65 เชื่อว่าจะยังเป็นปีที่ดีของ SET หนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยเผชิญการระบาดตั้งแต่ต้นปี และรอบ เม.ย.-ส.ค. นับเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเสมือนหยุดชะงัก ภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยยังไม่ร้อนแรงเหมือนสหรัฐฯ เป็นเหตุให้เชื่อว่าทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายทั้งปี 65 ซึ่งจะทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นในเชิง EYG (Earning Yield Gap) ไม่ถูกกดดัน และ Valuation ปัจจุบันยังไม่แพง SET ซื้อขายที่ Forward PE 22 ราว 17x นับเป็นระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี

กลยุทธ์การลงทุน หากต้องการถือหุ้นข้ามปีมองว่าสามารถทำได้ ส่วนการทยอยสะสมยังแนะนำกลุ่มอิงในประเทศเป็นหลัก เช่น ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) ค้าปลีก (CPALL CRC DOHOME GLOBAL HMPRO ILM) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) อาหารและเครื่องดื่ม (CBG M MINT) สื่อ (ONEE VGI)

ONEE (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 11.8 บาท) คาดรายได้ในฝั่งของช่องทางออนไลน์จะเติบโตเฉลี่ย 16% ในช่วง 4 ปี ข้างหน้า โดยคาดจะมีสัดส่วน 28% ของรายได้ในปี 67 หนุนจากจำนวนยอดคนติดตามที่สูงที่สุดในช่องทาง YouTube และ Facebook เทียบกับคู่แข่งในประเทศ

LH (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 10 บาท) คงมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมกำไรปี 65 จากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเชิงรุกที่ 2.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโด เดอะ คีย์ พระราม 3 มูลค่า 2 พันล้านบาทในครึ่งหลังของปีหน้า จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรได้อีกแรง

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket